
รายงาน Global Liveability Index 2025 โดย Economist Intelligence Unit (EIU) ได้เผยผลการจัดอันดับเมืองที่ “ใช้ชีวิตอยู่ยากที่สุดในโลก” ซึ่งรวบรวมข้อมูลจาก 173 เมืองหลักทั่วโลก โดยประเมินจาก 5 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ ความมั่นคง, การดูแลสุขภาพ, วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม, การศึกษา และโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีคะแนนรวมตั้งแต่ 1 (เลวร้ายที่สุด) ไปจนถึง 100 (เหมาะสมที่สุด)
แน่นอนว่าการจัดอันดับครั้งนี้ ไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้กับหลายฝ่าย เมื่อ “เมืองนั้น” ซึ่งมักปรากฏในลิสต์เมืองที่ท้าทายการใช้ชีวิตอยู่เสมอ ได้ติดอันดับเข้ามาอีกครั้ง สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่ยังคงเผชิญอยู่
เกณฑ์การจัดอันดับ 5 หมวดหลักที่กำหนดคุณภาพชีวิต
EIU ใช้เกณฑ์การประเมินที่ครอบคลุม เพื่อให้ได้ภาพรวมของสภาพแวดล้อมการใช้ชีวิตในแต่ละเมืองอย่างแท้จริง โดยแบ่งเป็น 5 หมวดหลัก พร้อมน้ำหนักคะแนนดังนี้:
- ความมั่นคง (25%): หมวดนี้ประเมินจากปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความปลอดภัยในชีวิตประจำวันของประชากร ซึ่งรวมถึงอัตรา อาชญากรรม, สถานการณ์ ความขัดแย้งทางการเมือง และความเสี่ยงจาก ภัยก่อการร้าย
- การดูแลสุขภาพ (20%): วัดจากคุณภาพและประสิทธิภาพของระบบ การรักษาพยาบาล, มาตรฐานของ สาธารณสุข และความสะดวกในการ เข้าถึงบริการทางการแพทย์ ที่จำเป็น
- วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม (25%): เป็นหมวดที่ครอบคลุมปัจจัยหลากหลาย ตั้งแต่ สภาพภูมิอากาศ ที่เอื้อต่อการใช้ชีวิต, ระดับของการ เซ็นเซอร์ หรือข้อจำกัดในการแสดงออก, ปัญหา คอร์รัปชัน ในหน่วยงานภาครัฐ ไปจนถึงความพร้อมของ สิ่งอำนวยความสะดวก และกิจกรรมทางวัฒนธรรม
- การศึกษา (10%): ประเมินจาก คุณภาพของโรงเรียน ทั้งในภาคส่วน ภาครัฐและเอกชน รวมถึงการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาในทุกระดับ
- โครงสร้างพื้นฐาน (20%): พิจารณาจากคุณภาพและประสิทธิภาพของระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ได้แก่ ถนน, ขนส่งสาธารณะ, มาตรฐานที่อยู่อาศัย, การเข้าถึง พลังงาน, น้ำสะอาด และบริการ โทรคมนาคม
การจัดอันดับโดย EIU นี้ เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้บุคคลทั่วไป องค์กรต่างๆ และภาครัฐ สามารถทำความเข้าใจและเปรียบเทียบคุณภาพชีวิตในเมืองต่างๆ ทั่วโลกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเมืองที่ติดอันดับ “ใช้ชีวิตยากที่สุด” ซึ่งต้องเผชิญกับความท้าทายในหลายมิติ และอาจต้องเร่งพัฒนาเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรต่อไป
แหล่งที่มา www.sanook.com/news/9823074/